ตรวจสุขภาพช่องปาก ทุก 6 เดือน เสริมสร้างสุขอนามัย ก่อนจะสายเกินแก้
ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาเล็กๆ ที่อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ เช่น ฟันผุหรือโรคเหงือก แต่ยังช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาที่อาจไม่แสดงอาการในช่วงแรกเริ่ม เช่น การติดเชื้อหรือฟันคุด

การละเลยสุขภาพช่องปากอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ในช่องปาก แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม เช่น การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ดังนั้น การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่องจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับสุขภาพระยะยาวได้
ปรึกษาฟรี! แอดเลย
ทำไมต้องตรวจสุขภาพช่องปาก?
การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณรักษาสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างดีต่อเนื่อง เพราะปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฟันและเหงือกอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้นจนกว่าจะมีความรุนแรง ดังนั้นการตรวจสุขภาพช่องปากจะช่วยตรวจพบปัญหาต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ และทำให้สามารถรักษาได้ทันเวลา นี่คือเหตุผลหลักที่ควรตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ:
1. ตรวจพบปัญหาฟันและเหงือกตั้งแต่เนิ่นๆ
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจพบปัญหาฟันผุ, โรคเหงือก (เช่น เหงือกอักเสบ) หรือโรคอื่น ๆ ที่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก เช่น การผุของฟันที่เกิดขึ้นภายในฟัน ซึ่งอาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้เอง
2. การป้องกันโรคเหงือกและฟันผุ
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาของเหงือกหรือฟันผุได้เร็วและรักษาได้ทันที การรักษาในระยะเริ่มต้นจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคเหงือกหรือฟันผุมีความรุนแรงและเกิดการสูญเสียฟันในระยะยาว
3. ตรวจหามะเร็งช่องปาก (Oral Cancer)
การตรวจสุขภาพช่องปากสามารถช่วยตรวจหาอาการของมะเร็งช่องปาก เช่น แผลในช่องปากที่ไม่หาย, ก้อนที่เหงือก, หรือการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในช่องปาก ซึ่งหากตรวจพบในระยะแรก การรักษาจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าและเพิ่มโอกาสในการหายขาด
4. ป้องกันการเสื่อมสภาพของฟัน
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้การดูแลฟันได้รับการปรับปรุง เช่น การขูดหินปูน การอุดฟันที่ผุ หรือการดูแลสุขภาพเหงือก ทำให้ฟันของคุณไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
5. ลดความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก
ปัญหาช่องปากสามารถส่งผลต่อสุขภาพส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น การศึกษาพบว่าโรคเหงือกอาจเชื่อมโยงกับโรคหัวใจและโรคเบาหวาน การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
6. การให้คำแนะนำการดูแลช่องปากที่เหมาะสม
การตรวจสุขภาพช่องปากทำให้ทันตแพทย์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปากอย่างถูกต้อง เช่น การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน การเลือกแปรงฟันหรือยาสีฟันที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาฟันและเหงือกในอนาคต
7. การประเมินสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุหรือเด็ก
ในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการรักษาฟันน้ำนม, ฟันถาวร, ฟันปลอม หรือฟันที่อาจมีปัญหาตามอายุและการพัฒนา
8. เพิ่มความมั่นใจในสุขภาพช่องปาก
การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าช่องปากของคุณสะอาดและไม่มีปัญหาทางทันตกรรม ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจเมื่อพูดคุยหรือยิ้ม
ตรวจสุขภาพช่องปากช่วยป้องกันอะไรบ้าง?
การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยป้องกันปัญหาหลายประการที่เกี่ยวข้องกับฟันและเหงือก รวมถึงช่วยป้องกันโรคและภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมได้ นี่คือสิ่งที่การตรวจสุขภาพช่องปากสามารถป้องกันได้:
1. ฟันผุ (Tooth Decay)
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจพบฟันผุในระยะแรก ก่อนที่จะมีอาการเจ็บปวดหรือเสี่ยงต่อการสูญเสียฟัน การรักษาฟันผุในระยะเริ่มต้นช่วยลดความเสี่ยงจากการต้องถอนฟันหรือการรักษาที่ซับซ้อน
2. โรคเหงือก (Gum Disease)
โรคเหงือก เช่น เหงือกอักเสบและโรคเหงือกขั้นรุนแรง (ปริทันต์อักเสบ) เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวด การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบอาการของโรคเหงือกในระยะเริ่มต้น และสามารถทำการรักษาได้ทันที เช่น การขูดหินปูน การเกลารากฟัน หรือการรักษาอื่น ๆ
3. มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer)
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้สามารถตรวจพบอาการของมะเร็งช่องปากในระยะแรก เช่น แผลในช่องปากที่ไม่หาย, ก้อนที่เหงือก หรือการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในช่องปาก การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเพิ่มโอกาสในการหายขาด
4. ฟันหลุดหรือฟันหัก
การตรวจสุขภาพช่องปากสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียฟันที่เกิดจากฟันผุ หรือการเสื่อมสภาพของฟัน ที่อาจทำให้ฟันหลุดหรือหักได้ โดยการรักษาในระยะแรกจะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม
5. ปัญหาฟันเหยินหรือฟันซ้อน (Malocclusion)
การตรวจสุขภาพช่องปากสามารถช่วยพบปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ไม่ถูกต้อง เช่น ฟันซ้อน หรือการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาการเคี้ยวอาหารที่ไม่สะดวกหรือการเสื่อมสภาพของฟัน การตรวจพบปัญหานี้สามารถทำให้เริ่มการรักษา เช่น การจัดฟัน ได้ทันเวลา
6. การสะสมของหินปูน (Tartar)
หินปูนสามารถสะสมใต้เหงือกและทำให้เกิดโรคเหงือก การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถขูดหินปูนออกจากผิวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเหงือกและฟันผุ
7. ปัญหาการทำงานของขากรรไกร
บางครั้งปัญหาการเคี้ยวอาหารหรือการเจ็บปวดที่ขากรรไกรอาจเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับฟันหรือการสบฟันที่ผิดปกติ การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้สามารถประเมินและวินิจฉัยปัญหานี้ได้ เช่น ปัญหาการสบฟันที่ไม่เหมาะสม หรือฟันที่ทำให้ขากรรไกรเคลื่อนที่ผิดปกติ
8. ความผิดปกติของเนื้อเยื่อในช่องปาก
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจสอบสุขภาพของเนื้อเยื่อในช่องปากได้ เช่น แผลในปากหรือแผลเปื่อยที่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น
9. ปัญหาการหายใจเหม็น (Bad Breath)
การตรวจสุขภาพช่องปากจะช่วยตรวจหาสาเหตุของการหายใจเหม็น (Halitosis) ที่อาจเกิดจากโรคเหงือก, ฟันผุ หรือปัญหาช่องปากอื่น ๆ การตรวจพบสาเหตุจะช่วยให้สามารถรักษาปัญหานั้นได้ทันที
10. ปัญหาฟันน้ำนมในเด็ก
การตรวจสุขภาพช่องปากในเด็กช่วยป้องกันการเกิดฟันผุในฟันน้ำนม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของฟันถาวรในอนาคต
ทั้งนี้ ควรตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน – 1 ปี เพราะหากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับฟันและช่องปาก ทันตแพทย์จะตรวจพบความผิดปกติทันตแพทย์ ผู้ป่วยจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีคนไข้จะเสียค่าใช้จ่ายไม่เยอะเนื่องจากการรักษาที่จะไม่ซับซ้อนมาก เช่น ฟันผุ หากตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ ช่วยให้จัดการได้ก่อนที่ปัญหานั้นจะลุกลามใหญ่โตนั่นเอง เป็นการประหยัดทั้งเงินค่าใช้จ่ายเวลาและสุขภาพของผู้ป่วย
ขั้นตอนการตรวจสุขภาพช่องปาก
1. การซักประวัติสุขภาพ
ทันตแพทย์จะเริ่มต้นการตรวจสุขภาพช่องปากด้วยการซักประวัติสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งจะรวมถึงการถามเกี่ยวกับ:
-
ปัญหาสุขภาพช่องปากที่เคยมี
-
ประวัติการรักษาฟันหรือโรคเหงือก
-
อาการที่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาช่องปาก เช่น การเจ็บฟัน การเสียวฟัน หรือการมีปัญหาในการเคี้ยว
-
การใช้ยาหรือการมีโรคประจำตัวที่อาจมีผลต่อสุขภาพช่องปาก เช่น โรคเบาหวาน
2. การตรวจภายในช่องปาก
หลังจากซักประวัติแล้ว ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด โดยจะตรวจดูทุกส่วนของช่องปาก
ขั้นตอนการ ตรวจฟัน
- การตรวจฟัน: ทันตแพทย์จะสอบถามประวัติโดยทั่วไปเพื่อเป็นการอัพเดทประวัติคนไข้เช่นโรคประจำตัวและยาที่ทานมีเพิ่มขึ้นหรือไม่
- ทันตแพทย์จะทำการตรวจโดยทั่วไปในช่องปากหาสัญญาณของฟันผุ, ฟันหัก, หรือความผิดปกติ เช่น ฟันซ้อน หรือการเสื่อมสภาพของฟัน ทั้งฟันธรรมชาติครอบฟันและวัสดุอุดเดิมว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
ขั้นตอนการ ตรวจเหงือก และเนื้อเยื่ออ่อน
-
การตรวจเหงือก: ทันตแพทย์จะตรวจดูว่าเหงือกมีสุขภาพดีหรือไม่ โดยตรวจดูเหงือกโดยทั่วๆไปทั้งสีลักษณะผิวเหงือก ตุ่มหนองและลักษณะอันพึงประสงค์ต่างๆ เช่นเหงือกมีการบวม, อักเสบ หรือมีเลือดออก ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการมีโรคเหงือก
-
การตรวจรอยแผลในช่องปาก: การตรวจหาหรือสังเกตแผล, ตุ่ม หรือก้อนที่อาจแสดงถึงปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น มะเร็งช่องปาก
3. การใช้เครื่องมือเสริม (หากจำเป็น)
บางครั้งทันตแพทย์อาจใช้เครื่องมือเสริมในการตรวจ เช่น:
-
เครื่องมือขูดหินปูน: ใช้สำหรับขูดหินปูนที่สะสมอยู่บนฟันหรือใต้เหงือก
- เครื่องมือวัดความลึกของเหงือก: การใช้เครื่องมือวัดความลึกของเหงือกเพื่อประเมินความรุนแรงของโรคเหงือก เช่น การใช้เครื่องมือ probe วัดการลึกของแผลเหงือกในกรณีที่มีโรคเหงือกขั้นรุนแรง
จำเป็นต้อง ถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ หรือไม่
- การถ่ายภาพเอกซเรย์: การเอกซเรย์ฟัน (X-ray) อาจจำเป็นเพื่อดูปัญหาภายในฟันหรือรากฟันที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น การผุของฟันในพื้นที่ที่มองไม่เห็น
- ในฟันที่ทันตแพทย์สงสัยว่าจะมีความผิดปกติ อาจต้องทำการเอกซเรย์เพิ่มเติมเฉพาะซี่นั้นนั้น ในฟันหลัง แนะนำเอ็กซเรย์เช็คซอกฟันผุบริเวณฟันหลังเพื่อดูว่ามีฟันผุบริเวณซอกฟันที่ตามองไม่เห็นหรือไม่ อย่างน้อย ปีละ1 ครั้ง
- หากหลังจากตรวจฟันและเอ็กซเรย์เรียบร้อยแล้วไม่พบความผิดปกติใดใดแนะนำให้คนไข้ขุดหินปูนขัดฟันทุก 6 เดือนตามปกติ
- ขั้นตอนสุดท้ายทันตแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาความสะอาดในช่องปากให้เหมาะสมกับผู้ป่วยท่านนั้นนั้นเช่นการใช้ไม้ขัดฟันการใช้แปรงซอกฟันสำหรับผู้ป่วยบางคน เน้นย้ำว่าหากมีปัญหาเช่นอาการปวดบวมเสียวหรือวัสดุแตกหักบิ่นก่อนครบกำหนดหกเดือนให้รีบกลับมาพบทันตแพทย์
4. การประเมินสุขภาพช่องปากโดยรวม
หลังจากการตรวจฟันและเหงือก ทันตแพทย์จะประเมินสุขภาพช่องปากโดยรวม รวมถึง:
-
การประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก หรือฟันผุ
-
การตรวจลมหายใจ: ทันตแพทย์อาจสังเกตลมหายใจเพื่อดูว่ามีอาการของการหายใจเหม็น (Halitosis) หรือไม่ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาช่องปาก เช่น โรคเหงือกหรือฟันผุ
-
การตรวจหาปัญหาฟันหรือเหงือกที่อาจมีผลต่อสุขภาพช่องปากในระยะยาว
-
การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น การแปรงฟัน, การใช้ไหมขัดฟัน, การเลือกแปรงฟันที่เหมาะสม
5. การวางแผนการรักษาหรือการบำรุงรักษา
หากพบปัญหา ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา เช่น:
-
การขูดหินปูนเพื่อขจัดหินปูนที่สะสม
-
การอุดฟันหรือการจัดฟันหากมีปัญหาฟันผุ
-
การรักษาโรคเหงือกหรือการเกลารากฟันหากพบการอักเสบ
-
การติดตามผลในกรณีที่ต้องการการรักษาระยะยาว
6. การนัดหมายเพื่อติดตามผล
ทันตแพทย์จะนัดหมายการตรวจสุขภาพช่องปากครั้งถัดไปตามความเหมาะสม หากไม่มีปัญหาสุขภาพช่องปากร้ายแรง อาจนัดตรวจทุก 6 เดือน หรือหากมีปัญหาเฉพาะก็จะต้องการการติดตามและการรักษาเพิ่มเติม
ข้อดีของการไปพบ ทันตแพทย์ ทุก 6 เดือน
-
คุณหมอจะเช็คสุขภาพฟัน ที่เราอาจจะทำความสะอาดไม่ทั่วถึงได้ และตรวจพบรอยโรคระยะเริ่มต้นได้ เพื่อป้องกันฟันผุเเต่เนิ่นๆ
-
ตรวจดูฟันที่เคยทำการรักษามาแล้วเช่นอุดฟันครอบฟันรักษารากฟันว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือไม่หากมี บินแตกหักหรือรั่วทันตแพทย์จะทำการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
-
เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคในช่องปาก และโรคติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ
โรคที่พบบ่อยและการป้องกัน
1. ฟันผุ (Tooth Decay)
ฟันผุเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่เปลี่ยนแป้งและน้ำตาลในอาหารให้กลายเป็นกรด ซึ่งจะทำลายเนื้อฟันให้ผุกร่อนลงตามเวลา อาการที่พบคือการเสียวฟันหรือการเห็นหลุมที่ฟัน การป้องกันฟันผุสามารถทำได้โดยการแปรงฟันให้สะอาดทุกวัน, ใช้ไหมขัดฟันเพื่อขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ในซอกฟัน, หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลหรืออาหารที่มีความหวานสูงบ่อย ๆ และไปพบทันตแพทย์เพื่อการขูดหินปูนและการตรวจสุขภาพช่องปาก
2. โรคเหงือก (Gum Disease)
โรคเหงือกเริ่มต้นจากการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เหงือกอักเสบ (เหงือกอักเสบ) และอาจลุกลามไปถึงโรคเหงือกขั้นรุนแรง (ปริทันต์อักเสบ) ซึ่งอาจทำให้เกิดการหลุดของฟัน การป้องกันโรคเหงือกคือการแปรงฟันให้ถูกวิธี, ใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อป้องกันหินปูนสะสม, รับการขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอจากทันตแพทย์ และตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน

3. มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer)
มะเร็งช่องปากอาจเกิดขึ้นได้จากการสูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, หรือมีการติดเชื้อไวรัส HPV การตรวจพบมะเร็งช่องปากในระยะเริ่มต้นช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหายขาด การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, การสวมใส่เครื่องป้องกันแดดเมื่อออกกลางแจ้ง, และการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
4. หินปูนสะสม (Tartar)
หินปูนคือการสะสมของแร่ธาตุจากน้ำลายที่ทำให้เกิดการแข็งตัวในบริเวณเหงือกและฟัน หินปูนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเหงือก การป้องกันหินปูนคือการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน, รับการขูดหินปูนจากทันตแพทย์ทุก 6 เดือน และรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี
5. การหายใจเหม็น (Bad Breath)
การหายใจเหม็นมักเกิดจากการสะสมของเศษอาหารหรือแบคทีเรียในช่องปากที่ไม่ถูกทำความสะอาด การรักษาสุขภาพช่องปากที่ดี เช่น การแปรงฟัน, ใช้ไหมขัดฟัน และล้างปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อสามารถช่วยลดกลิ่นปากได้ นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง
คลินิกทันตกรรม ของเรา มีบริการ อะไรบ้างเกี่ยวกับ ตรวจสุขภาพช่องปาก
คลินิกทันตกรรมเปปเปอร์มินต์บริการทางทันตกรรมที่ครอบคลุมทุกด้านของการดูแลช่องปากและฟัน ตั้งแต่การป้องกัน การตรวจสุขภาพช่องปาก ไปจนถึงการรักษาและการฟื้นฟูสุขภาพช่องปาก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลและบริการที่ครอบคลุมทุกปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริการนี้อาจรวมถึงการดูแลรักษาในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้:
1. การตรวจสุขภาพช่องปาก
-
การตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน: เพื่อหาปัญหาต่าง ๆ เช่น ฟันผุ โรคเหงือก หรือโรคปากและฟันอื่น ๆ ก่อนที่อาการจะรุนแรง
-
การถ่ายภาพเอกซเรย์: เพื่อช่วยให้สามารถเห็นปัญหาภายในฟันและกระดูกขากรรไกร เช่น ฟันผุที่ไม่สามารถเห็นได้จากการตรวจภายนอก
2. การทำความสะอาดช่องปาก
-
ขูดหินปูน: การขูดหินปูนและเกลารากฟันเพื่อกำจัดคราบหินปูนที่สะสมอยู่ใต้เหงือก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือก
- การทำความสะอาดฟัน (Scaling & Polishing): ช่วยให้ฟันสะอาดและลดโอกาสเกิดฟันผุและโรคเหงือก
3. การรักษาฟัน
-
การอุดฟัน: สำหรับฟันที่มีอาการผุหรือชำรุด สามารถทำการอุดฟันด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น เรซิน, อมัลกัม หรือวัสดุคอมโพสิต
-
การรักษารากฟัน: การรักษารากฟัน (Root Canal) เพื่อรักษาฟันที่มีการติดเชื้อที่รากฟัน โดยการกำจัดเนื้อเยื่อภายในรากฟันและเติมวัสดุทดแทน
4. การถอนฟันและการทำฟันปลอม
-
การถอนฟัน: บริการถอนฟันที่ไม่สามารถรักษาได้ เช่น ฟันผุที่รุนแรง, ฟันคุด หรือฟันที่เสียหายจากอุบัติเหตุ
- ฟันปลอมและฟันเทียม: การทำฟันปลอมชนิดถอดได้หรือฟันเทียมถาวร เช่น รากฟันเทียม (Dental Implants), ฟันปลอมชนิดยึดติด (Bridges) หรือฟันปลอมแบบถอดได้
5. การจัดฟัน
-
การจัดฟัน (Orthodontics): บริการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาฟันซ้อน, ฟันเหยิน, หรือการสบฟันที่ผิดปกติ การจัดฟันมีทั้งแบบที่มองไม่เห็น (Invisible Braces) และแบบที่เห็นได้ (Metal Braces)
6. การรักษาโรคเหงือก
-
การรักษาโรคเหงือก (Periodontal Treatment): การรักษาโรคเหงือกที่มีอาการอักเสบและเลือดออกจากการสะสมของหินปูน การรักษาโรคเหงือกอาจรวมถึงการขูดหินปูนและการเกลารากฟัน หรือการผ่าตัดเหงือก
7. การฟื้นฟูฟัน
-
การเคลือบฟัน (Veneers) และการทำครอบฟัน (Crowns): การใช้วัสดุพิเศษทำเคลือบหรือครอบฟันที่ได้รับความเสียหายจากการผุ หรือทำให้ฟันดูสวยงามมากขึ้น
-
ฟันเทียมแบบติดตั้งถาวร: การฝังรากฟันเทียมเพื่อทดแทนฟันที่หายไป
8. การให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านสุขภาพช่องปาก
-
การให้คำปรึกษา: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี, การใช้ไหมขัดฟัน, การเลือกใช้ยาสีฟันที่เหมาะสม และการป้องกันโรคเหงือกและฟันผุ
-
การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกแปรงฟัน: คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกแปรงฟันที่เหมาะสมและการใช้เทคนิคการแปรงฟันอย่างถูกต้อง
9. การดูแลช่องปากในกรณีเฉพาะ
-
การดูแลสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุ: เน้นการดูแลฟันและเหงือกในผู้สูงอายุเพื่อป้องกันปัญหาเช่น ฟันหลุด หรือปัญหาจากการใช้ฟันปลอม
- การดูแลช่องปากในเด็ก: การตรวจสุขภาพช่องปากในเด็กและการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลฟันน้ำนม
FAQ เกี่ยวกับ ตรวจสุขภาพช่องปาก
ตรวจสุขภาพช่องปากสำหรับเด็ก ตรวจได้ตั้งอายุเท่าไร
การตรวจสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน หรือเมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น การตรวจสุขภาพช่องปากในเด็กมีความสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยให้ทันตแพทย์ตรวจพบปัญหาช่องปากที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น การฟันผุ, การสึกหรอของฟัน, หรือปัญหาการพัฒนาของฟันและขากรรไกร
การตรวจสุขภาพช่องปากในเด็ก
-
อายุ 6 เดือน – 1 ปี: ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปากเพื่อดูว่าฟันน้ำนมขึ้นตามปกติหรือไม่ และสังเกตอาการของการระคายเคืองหรือปัญหาที่อาจเกิดจากการฟันขึ้น
-
อายุ 2-3 ปี: ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันน้ำนม พร้อมแนะนำการดูแลฟันและเหงือกให้ถูกวิธี เช่น การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน
-
อายุ 4-6 ปี: การตรวจสุขภาพช่องปากในวัยนี้จะเริ่มตรวจฟันถาวรและเริ่มแนะนำการป้องกันการผุของฟัน เช่น การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
ทำไมต้องตรวจสุขภาพช่องปากตั้งแต่เด็ก?
-
การป้องกันฟันผุ: ฟันน้ำนมสามารถผุได้เร็วและง่าย การตรวจจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถให้คำแนะนำในการป้องกันและรักษาได้
-
ตรวจการพัฒนาของฟัน: ทันตแพทย์สามารถตรวจสอบว่าฟันขึ้นตามลำดับและตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ เช่น การสบฟันผิดปกติ หรือการฟันคุดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- การป้องกันปัญหาช่องปากในอนาคต: การตรวจสุขภาพช่องปากตั้งแต่เด็กช่วยให้เด็กมีความรู้ในการดูแลรักษาฟันที่ดี และลดความเสี่ยงของปัญหาฟันในอนาคต
ใส่เครื่องมือจัดฟันแล้ว จำเป็นต้องตรวจสุขภาพช่องปาก หรือไม่
เหตุผลที่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพช่องปากระหว่างการจัดฟัน:
-
การควบคุมหินปูนและการสะสมของเศษอาหาร
การใส่เครื่องมือจัดฟันอาจทำให้เศษอาหารและหินปูนสะสมได้ง่ายขึ้นในช่องปาก ดังนั้นการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ทันตแพทย์ตรวจหาการสะสมของหินปูนที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเหงือกหรือฟันผุ -
ตรวจปัญหาฟันและเหงือก
การตรวจสุขภาพช่องปากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจพบปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การอักเสบของเหงือก (เหงือกอักเสบ), การเกิดแผลในช่องปาก หรือฟันผุที่อาจซ่อนอยู่ในซอกฟันที่เครื่องมือจัดฟันอาจไปอุดปิด -
การประเมินความคืบหน้าของการจัดฟัน
การตรวจสุขภาพช่องปากจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถติดตามผลการจัดฟัน และตรวจสอบว่าเครื่องมือจัดฟันทำงานได้ตามที่ตั้งใจหรือไม่ และตรวจสอบว่าการเคลื่อนที่ของฟันเป็นไปตามแผนที่วางไว้ -
การป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใส่เครื่องมือจัดฟัน
เครื่องมือจัดฟันบางประเภทอาจทำให้เหงือกหรือเนื้อเยื่อในช่องปากระคายเคืองหรือบาดเจ็บได้ การตรวจสุขภาพช่องปากจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาที่รุนแรง -
การแนะนำการดูแลช่องปาก
ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลช่องปากระหว่างการจัดฟัน เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี, การใช้ไหมขัดฟันสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องมือจัดฟัน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะสม
การตรวจสุขภาพช่องปากที่แนะนำในช่วงการจัดฟัน
-
ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 3-6 เดือนหรือเมื่อมีปัญหาฟันหรือเหงือก
-
ทำการขูดหินปูนเพื่อป้องกันการสะสมของหินปูน
-
ตรวจฟันและเหงือกเพื่อหาความผิดปกติหรือปัญหาที่เกิดจากเครื่องมือจัดฟัน
-
ถามคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปากจากทันตแพทย์หากมีปัญหาหรือข้อกังวลเกี่ยวกับการจัดฟัน
ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน บ่อยเกิน หรือไม่
การตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน ถือเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและแนะนำโดยทันตแพทย์ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพช่องปากดีและไม่มีปัญหาพิเศษ การตรวจทุก 6 เดือนจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจพบปัญหาช่องปาก เช่น ฟันผุ, โรคเหงือก หรือปัญหาฟันอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะแรก และสามารถให้คำแนะนำการดูแลช่องปากที่ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
ทำไมการตรวจทุก 6 เดือนจึงสำคัญ?
-
การตรวจฟันและเหงือก: การตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือนจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถตรวจสอบฟันและเหงือกว่ามีปัญหาหรือไม่ เช่น ฟันผุที่อาจเกิดขึ้นใหม่ หรืออาการอักเสบของเหงือกที่อาจนำไปสู่โรคเหงือก
-
การขูดหินปูน: หินปูนสามารถสะสมในช่องปากและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเหงือก การขูดหินปูนเป็นประจำจะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าว
-
การป้องกันโรคที่อาจไม่แสดงอาการ: บางครั้งโรคฟันผุหรือโรคเหงือกอาจไม่มีอาการในระยะแรก การตรวจเช็กทุก 6 เดือนช่วยให้ทันตแพทย์สามารถพบปัญหาตั้งแต่แรกเริ่มและทำการรักษาได้ทันที
กรณีที่อาจต้องตรวจบ่อยขึ้น:
-
ผู้ที่มีปัญหาช่องปาก: หากคุณมีปัญหาช่องปาก เช่น โรคเหงือก, ฟันผุ หรือการจัดฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจสุขภาพช่องปากบ่อยขึ้น อาจเป็นทุก 3 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาที่พบ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ การมีโรคเหล่านี้อาจทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปัญหาช่องปาก ทำให้การตรวจเป็นประจำทุก 6 เดือนอาจยังไม่เพียงพอ
ตรวจสุขภาพช่องปากที่ไหนดี
หากคุณกำลังมองหาคลินิกทันตกรรมที่มีคุณภาพและบริการที่ดี คลินิก ทันตกรรมเปปเปอร์มินต์ ดูแลอย่างมืออาชีพจากทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมทั้งการตรวจสุขภาพช่องปากที่ครอบคลุมและทันสมัย คลินิกเปปเปอร์มินต์ให้ความสำคัญกับความสะอาดและการรักษามาตรฐานสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพช่องปาก, ขูดหินปูน, อุดฟัน, หรือการรักษาทางทันตกรรมอื่น ๆ ที่นี่ก็มีให้บริการอย่างครบถ้วน
ตรวจสุขภาพช่องปากใช้ สิทธิ ประกันสังคมได้หรือไม่
สิทธิประกันสังคมสำหรับการตรวจสุขภาพช่องปาก
การตรวจสุขภาพช่องปากเบื้องต้น: ประกันสังคมไม่ครอบคลุมการตรวจสุขภาพช่องปากทั่วไป เช่น การตรวจฟันและเหงือกทุกปีโดยทันตแพทย์ หรือการตรวจสุขภาพช่องปากประจำ แต่หากเป็นการตรวจเพื่อรักษาหรือวินิจฉัยปัญหาช่องปากที่เกี่ยวข้องกับโรคที่ได้รับการยืนยันจากการตรวจ เช่น ฟันผุ, โรคเหงือกอักเสบ หรือการรักษาที่จำเป็น อาจสามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้
การรักษาเฉพาะด้าน: การรักษาฟันผุ, การขูดหินปูน, การอุดฟัน หรือการรักษาโรคเหงือกในบางกรณีสามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดของการรักษาที่ประกันสังคมครอบคลุม เช่น การรักษาเฉพาะในกรณีที่จำเป็น หรือการรักษาในคลินิกที่อยู่ในเครือข่ายของประกันสังคม
กรณีฟันคุดหรือการผ่าตัด: การผ่าฟันคุดหรือการทำหัตถการทางทันตกรรมที่เกี่ยวข้องกับฟันคุดก็อาจใช้สิทธิประกันสังคมได้ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีการยืนยันจากทันตแพทย์ว่าเป็นการรักษาที่จำเป็น
การใส่ฟันปลอม ฟันปลอมแบบพลาสติก ฟันปลอมถอดได้ สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ ทุก 5 ปี สูงสุด 4,400 บาท
คลินิกทันตกรรมเปปเปอร์มินต์เบิกประกันสังคมได้ ไม่ต้องสำรองจ่าย 900 บาท/ปี
เพียงแสดงบัตรประชาชนหรือบัตรผู้ประกันตน
ปรึกษาฟรี! แอดเลย
บทความ
ประกันสังคมเบิกตรงไม่ต้องสำรองจ่าย เดินทางสะดวก ใกล้ BTS อุดมสุข