รักษาโรคเหงือก ป้องกันฟันโยก ด้วยทันตกรรมมาตรฐาน
เหงือกของเราคือส่วนหนึ่งของช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ปัญหาที่เกิดจากโรคเหงือกสามารถส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพโดยรวมของเรา หากเราไม่ดูแลให้ดี โรคเหงือกอักเสบที่เริ่มต้นจากการสะสมของแบคทีเรียอาจพัฒนาเป็นโรคเหงือกที่รุนแรงกว่า และนำไปสู่การสูญเสียฟันและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ไม่คาดคิด การเข้าใจถึงสาเหตุและการป้องกันโรคเหงือกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรละเลย

โรคเหงือกคืออะไร?
โรคเหงือกที่คนทั่วไปมักเข้าใจส่วนใหญ่คือ โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) ซึ่งเป็นภาวะที่เหงือกเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อที่เกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียที่ไม่ถูกทำความสะอาดออกอย่างสม่ำเสมอ
สาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย ของโรคเหงือก
สาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อยของโรคเหงือกมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและฟันของเรา โดยส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่ไม่ถูกกำจัดออกไป ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของเหงือก หรือปัญหาสุขภาพเหงือกอื่น ๆ ต่อไป สาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

ปรึกษาฟรี! แอดเลย
-
การทำความสะอาดช่องปากไม่เพียงพอ
การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันไม่สม่ำเสมอ หรือทำไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดคราบแบคทีเรียที่เรียกว่า “พลัค” (plaque) สะสมบริเวณเหงือกและฟัน ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นหินปูนและทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้ -
การสะสมของหินปูน (Tartar)
หินปูนเกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียและแร่ธาตุจากน้ำลายที่แข็งตัว เมื่อหินปูนสะสมอยู่ตามขอบเหงือกจะทำให้เหงือกอักเสบและเกิดโรคเหงือกในที่สุด -
การสูบบุหรี่หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
การสูบบุหรี่หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือก เนื่องจากมันลดการไหลเวียนของเลือดไปยังเหงือกและทำให้เหงือกเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น -
การมีโรคประจำตัวบางชนิด
โรคที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เบาหวาน โรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน (เช่น การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด) อาจทำให้เหงือกมีความอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย -
การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรืออาหารที่เป็นกรดอาจทำให้แบคทีเรียในช่องปากเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือก -
ภาวะเครียด
ความเครียดสามารถส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่เหงือกได้ดีนัก -
การขาดสารอาหาร
การขาดวิตามิน C หรือสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างสุขภาพเหงือกอาจทำให้เหงือกอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ -
การใช้ยาบางชนิด
ยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของต่อมน้ำลาย (เช่น ยาที่ทำให้ปากแห้ง) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือก เนื่องจากน้ำลายช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในช่องปาก
อาการของโรคเหงือก
เหงือกบวมแดง: เหงือกมีลักษณะบวมและแดงขึ้น มักจะพบได้รอบๆ ฟัน
เลือดออก: เหงือกมักจะเลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
กลิ่นปาก: เกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียที่มีการหมัก
อาการเจ็บเหงือก: อาจมีความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดในบางครั้ง


โรคเหงือกสามารถแบ่งออกเป็นหลายระยะตามระดับความรุนแรง ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่สามารถรักษาได้ง่าย จนถึงระยะที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฟันและสุขภาพโดยรวมได้ ระยะความรุนแรงของโรคเหงือกแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่:
1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis)
-
ลักษณะ: เป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือกที่เหงือกมีการอักเสบเล็กน้อย โดยจะพบอาการเหงือกบวมแดงและเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
-
สาเหตุ: เกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียหรือพลัคที่ไม่ถูกกำจัดออกไปอย่างสม่ำเสมอ
- การรักษา: หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะนี้ เช่น การแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ โรคเหงือกสามารถหายได้โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อฟัน
2. ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ระยะเริ่มต้น
-
ลักษณะ: หากโรคเหงือกอักเสบไม่ได้รับการรักษาและยังคงมีการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อาจทำให้เหงือกเริ่มมีการยุบตัวและสร้างกระเป๋าลึก ๆ รอบ ๆ ฟัน
-
อาการ: เหงือกจะเริ่มมีการบวมมากขึ้น, มีเลือดออก, ฟันอาจจะเคลื่อนตัวไปมา, และมีอาการปวดเหงือก
- การรักษา: ต้องการการรักษาที่ลึกขึ้นจากทันตแพทย์ เช่น การทำความสะอาดหินปูนที่รากฟัน หรือการขูดหินปูนจากใต้เหงือก เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแย่ลง
3. ปริทันต์อักเสบระยะรุนแรง (Advanced Periodontitis)
-
ลักษณะ: เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของโรคเหงือก โดยกระดูกที่รองรับฟันเริ่มเสื่อมสภาพและสูญเสีย ทำให้ฟันมีความเคลื่อนที่มากขึ้น
-
อาการ: ฟันอาจเริ่มหลุดออกจากเหงือก, มีกลิ่นปากรุนแรง, และอาจมีหนองหรือการติดเชื้อที่เหงือก
-
ผลกระทบ: หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้สูญเสียฟันและเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อในช่องปากหรือการเชื่อมโยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
- การรักษา: การรักษาในระยะนี้มักต้องใช้วิธีที่รุนแรง เช่น การผ่าตัดเหงือก, การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ, หรือแม้แต่การถอนฟันที่เสียหาย
4. การสูญเสียฟัน (Tooth Loss)
-
ลักษณะ: หากโรคเหงือกไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ การสูญเสียฟันอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากกระดูกที่รองรับฟันถูกทำลายจนฟันเคลื่อนที่หรือหลุดออก
-
สาเหตุ: กระดูกที่รองรับฟันและเนื้อเยื่อเหงือกเสื่อมสภาพจนไม่สามารถรักษาฟันไว้ได้
- การรักษา: ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการฝังฟันปลอม หรือรักษาด้วยวิธีการเสริมสร้างกระดูกเพื่อรองรับฟันใหม่
ผลกระทบของโรคเหงือกต่อสุขภาพ
1. การสูญเสียฟัน
เมื่อโรคเหงือกเข้าสู่ระยะที่รุนแรง (เช่น ปริทันต์อักเสบ) กระดูกที่รองรับฟันอาจถูกทำลาย ทำให้ฟันเคลื่อนที่และสูญเสียฟันในที่สุด ซึ่งอาจส่งผลให้การบดเคี้ยวอาหารลำบาก และมีผลกระทบต่อการพูดและการแสดงออกทางใบหน้า
2. ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด
การศึกษาหลายชิ้นพบว่าโรคเหงือกสามารถเชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากการอักเสบที่เกิดจากโรคเหงือกอาจกระตุ้นการเกิดการอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว หรือโรคหลอดเลือดสมองได้
3. โรคเบาหวาน
โรคเหงือกและโรคเบาหวานมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด โดยคนที่มีโรคเบาหวานมักมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเหงือก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงสามารถเพิ่มการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากและทำให้เหงือกอักเสบ นอกจากนี้ โรคเหงือกยังสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การควบคุมเบาหวานยากขึ้น
4. การติดเชื้อและการอักเสบในร่างกาย
การอักเสบที่เหงือกอาจทำให้แบคทีเรียในช่องปากเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ (เช่น การติดเชื้อเยื่อหุ้มหัวใจ) หรือในข้อต่อและกระดูก
5. ปัญหาการตั้งครรภ์
ผู้หญิงที่มีโรคเหงือกอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนดหรือทารกน้ำหนักตัวน้อย เนื่องจากการอักเสบในเหงือกอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนและสุขภาพของแม่และลูก
6. การมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ
การมีโรคเหงือกที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้แบคทีเรียในช่องปากถูกดูดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจและปอด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อในปอด เช่น ปอดบวม หรือโรคปอดเรื้อรัง (COPD)
7. ปัญหาภาวะเครียดและความวิตกกังวล
การสูญเสียฟันหรือปัญหากับสุขภาพช่องปากจากโรคเหงือกอาจทำให้คนรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการมองเห็นฟันและรูปลักษณ์ของตัวเอง นอกจากนี้ การเจ็บปวดจากโรคเหงือกอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
8. การมีผลกระทบต่อการย่อยอาหาร
การสูญเสียฟันจากโรคเหงือกทำให้การบดเคี้ยวอาหารไม่เต็มที่ อาจส่งผลกระทบต่อการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารจากอาหารที่รับประทาน
ปัจจัยเสี่ยง เพิ่มโอกาส ที่ทำให้เกิดโรคเหงือก
การสูบบุหรี่ และ บุหรี่ไฟฟ้า มีผลต่อการเกิดโรค
1. การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อสุขภาพเหงือกและฟัน ดังนี้:
-
ลดการไหลเวียนเลือดในเหงือก: การสูบบุหรี่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังเหงือกลดลง ซึ่งจะทำให้เหงือกมีการตอบสนองต่อการติดเชื้อน้อยลง และทำให้การฟื้นฟูตัวเองของเหงือกช้าลง
-
เพิ่มความเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ: การสูบบุหรี่ทำให้เหงือกมีโอกาสเกิดการอักเสบมากขึ้น เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่สามารถเพิ่มการสะสมของคราบแบคทีเรีย (พลัค) และทำให้การทำความสะอาดฟันยากขึ้น
-
เพิ่มความเสี่ยงของปริทันต์อักเสบและการสูญเสียฟัน: หากไม่ได้รับการรักษา โรคเหงือกอักเสบจากการสูบบุหรี่สามารถพัฒนาเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการสูญเสียฟันได้
-
ทำให้การรักษาล่าช้า: การสูบบุหรี่สามารถทำให้กระบวนการรักษาโรคเหงือกช้าลง เนื่องจากมันลดประสิทธิภาพของการรักษาและฟื้นฟูเหงือก
2. การใช้บุหรี่ไฟฟ้า
แม้การใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม แต่มันก็ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากเช่นเดียวกัน:
-
สารเคมีในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า: น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีหลายชนิดที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปากและเหงือก เช่น สารก่อมะเร็งและสารเคมีที่มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อเหงือก
-
เพิ่มการสะสมของคราบแบคทีเรีย: สารเคมีในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอาจทำให้คราบแบคทีเรียสะสมง่ายขึ้น และทำให้เหงือกมีความเสี่ยงต่อการอักเสบ
-
ลดการฟื้นฟูตัวเองของเหงือก: บุหรี่ไฟฟ้าสามารถลดการไหลเวียนเลือดในเหงือกเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป ซึ่งทำให้เหงือกมีโอกาสหายช้าหรือไม่หายเลยจากการติดเชื้อ
ผลกระทบโดยรวมต่อสุขภาพเหงือกจากการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
-
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเหงือก: ทั้งการสูบบุหรี่และการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก เช่น โรคเหงือกอักเสบและปริทันต์อักเสบ
-
การรักษาล่าช้าและยากขึ้น: การใช้บุหรี่ทั้งสองชนิดสามารถทำให้การรักษาโรคเหงือกยากขึ้น และทำให้เหงือกหายช้าหรือไม่หายเลย
-
ความเสี่ยงในการสูญเสียฟัน: การสะสมของคราบแบคทีเรียที่เกิดจากการสูบบุหรี่หรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอาจนำไปสู่การสูญเสียฟัน
การป้องกันและแนะนำ
-
หยุดสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงของโรคเหงือกและช่วยให้เหงือกฟื้นตัวได้ดีขึ้น
-
ลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้า: แม้จะไม่เท่ากับการสูบบุหรี่ทั่วไป แต่การลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็สามารถลดความเสี่ยงของโรคเหงือกได้
-
ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ: การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหงือกที่เกิดจากการสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า
การลดหรือเลิกการสูบบุหรี่และการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาสุขภาพเหงือกให้ดี
การตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิตของผู้หญิง ทั้งในแง่ของร่างกายและสุขภาพโดยรวม และมันยังส่งผลต่อสุขภาพช่องปากด้วย โดยเฉพาะเรื่องของ โรคเหงือก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ดังนี้:
การเปลี่ยนแปลงในระหว่างการตั้งครรภ์
-
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะสูงขึ้นโดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งสามารถทำให้เลือดไหลไปยังเหงือกมากขึ้น ส่งผลให้เหงือกบวมและระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็มีบทบาทในการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อในช่องปากอีกด้วย
-
โรคเหงือกในระหว่างการตั้งครรภ์
-
เหงือกบวมและอักเสบ (Gingivitis): การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดภาวะเหงือกอักเสบ (Gingivitis) ซึ่งมักพบในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ โดยเหงือกจะบวมและมีเลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟัน
-
การอักเสบของเหงือกที่รุนแรง (Pregnancy Tumor or Pyogenic Granuloma): เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นในเหงือก โดยมักจะเกิดที่บริเวณขอบเหงือกที่ฟันหน้า ซึ่งอาจดูเหมือนเนื้อเยื่อบวมที่มีสีแดง แต่ไม่เป็นอันตรายและสามารถหายได้หลังจากคลอด
-
-
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดโรคเหงือก การตั้งครรภ์ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกสูงขึ้น เนื่องจากผู้หญิงบางคนอาจละเลยการดูแลช่องปากในช่วงเวลานี้ เพราะรู้สึกไม่สะดวกหรือไม่สบาย เช่น อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนที่มักเกิดในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้ไม่สามารถแปรงฟันได้อย่างสะอาดทุกวัน นอกจากนี้ ความเครียดและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการรับประทานอาหาร (เช่น การรับประทานขนมหวานมากขึ้น) ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเหงือก
ผลกระทบของโรคเหงือกต่อการตั้งครรภ์
โรคเหงือกที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ดังนี้:
-
ภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์: โรคเหงือกที่ไม่รักษาอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดและทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อย (Low birth weight) เนื่องจากการอักเสบในเหงือกสามารถกระตุ้นการเกิดการอักเสบในร่างกายและมีผลต่อการพัฒนาของทารก
-
ผลกระทบต่อสุขภาพของทารก: การติดเชื้อจากโรคเหงือกที่ไม่ได้รับการรักษาสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ เช่น การเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ทารก
การดูแลสุขภาพช่องปากในระหว่างการตั้งครรภ์
การดูแลช่องปากในช่วงตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคเหงือกและรักษาสุขภาพของทั้งแม่และทารก ดังนี้:
-
แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ: ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันเพื่อขจัดคราบแบคทีเรียที่สะสม
-
หลีกเลี่ยงอาหารหวานและกรด: ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือกรดสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดโรคเหงือก
-
ไปพบทันตแพทย์: ควรไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทันตแพทย์ตรวจสุขภาพช่องปากและเหงือก หากพบปัญหาควรได้รับการรักษาทันที
ข้อแนะนำในการรักษา
-
การทำความสะอาดช่องปาก: ควรแปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟันเพื่อขจัดคราบแบคทีเรีย
-
การป้องกันและรักษาโรคเหงือก: การพบทันตแพทย์และทำความสะอาดฟันอย่างลึกซึ้ง (ขูดหินปูน) เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคเหงือกในระหว่างการตั้งครรภ์
โดยรวมแล้ว การดูแลช่องปากในระหว่างการตั้งครรภ์ไม่เพียงช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันของแม่ แต่ยังช่วยป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพของทารกในครรภ์
พันธุกรรม
พันธุกรรม เป็นปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพช่องปากและการเกิดโรคเหงือก โดยอาจทำให้บางคนมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดโรคเหงือกจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่หรือครอบครัว
บทบาทของพันธุกรรมในการเกิดโรคเหงือก
-
ความเสี่ยงทางพันธุกรรม:
-
คนบางคนอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคเหงือก เนื่องจากลักษณะพันธุกรรมที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบ และการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อจากแบคทีเรียในช่องปาก
-
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในบางคนอาจไม่ดีเพียงพอในการต่อสู้กับการติดเชื้อในเหงือก ทำให้แบคทีเรียในช่องปากสามารถเติบโตและสะสมได้ง่าย ส่งผลให้เกิดโรคเหงือกได้ง่าย
-
-
โรคเหงือกที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม:
-
โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis): แม้โรคเหงือกอักเสบจะสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่าง ๆ แต่คนที่มีประวัติครอบครัวที่มีโรคเหงือกมักมีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม
-
โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis): เป็นโรคเหงือกที่รุนแรงกว่าที่อาจทำให้สูญเสียฟันได้และมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมสูงขึ้นในบางคน ซึ่งส่งผลให้การสะสมของคราบแบคทีเรียในช่องปากอาจนำไปสู่การทำลายกระดูกที่รองรับฟัน
-
-
การถ่ายทอดพันธุกรรม:
-
การถ่ายทอดพันธุกรรมจากพ่อแม่สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมการตอบสนองต่อการติดเชื้อในช่องปาก หรือทำให้มีการสะสมของคราบแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
-
นอกจากนี้ยังสามารถส่งผลต่อสุขภาพเหงือกผ่านทางการผลิตน้ำลาย เช่น บางคนอาจมีปริมาณน้ำลายที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้ช่องปากแห้งและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก
-
วิธีการลดผลกระทบจากพันธุกรรมต่อโรคเหงือก
แม้ว่าพันธุกรรมจะมีบทบาทในการเกิดโรคเหงือก แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น พฤติกรรมการดูแลช่องปากที่ดีและการรักษาความสะอาดของฟันและเหงือก ดังนี้:
-
การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ: การทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้องสามารถลดการสะสมของคราบแบคทีเรียและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือก
-
การตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์: การตรวจสุขภาพช่องปากและการขูดหินปูนกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก
การควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: ลดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงและให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหงือก เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีามหัวข้อ
วิธีการ รักษาโรคเหงือก
ขูดหินปูนและเกลารากฟัน
ขูดหินปูน (Scaling)
การขูดหินปูนคือการกำจัดคราบหินปูนและคราบจุลินทรีย์ที่สะสมอยู่บริเวณฟันและขอบเหงือก โดยทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือขูดหินปูนหรือเครื่องอัลตราโซนิกเพื่อทำความสะอาดผิวฟัน ขั้นตอนนี้ช่วยลดการอักเสบของเหงือกและป้องกันการลุกลามของโรคเหงือก
เกลารากฟัน (Root Planing)
หลังจากการขูดหินปูน หากมีคราบแบคทีเรียและสารพิษฝังลึกในรากฟัน ทันตแพทย์จะทำการเกลารากฟันเพื่อทำให้ผิวรากฟันเรียบ ลดการสะสมของแบคทีเรียในอนาคต และช่วยให้เนื้อเยื่อเหงือกยึดติดกับรากฟันได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของการขูดหินปูนและเกลารากฟัน
-
ลดอาการเหงือกบวมแดงและเลือดออกขณะแปรงฟัน
-
ป้องกันการลุกลามของโรคเหงือกที่อาจนำไปสู่การสูญเสียฟัน
-
ช่วยลดกลิ่นปากและเพิ่มความมั่นใจ
-
ฟื้นฟูสุขภาพเหงือกให้แข็งแรงขึ้น
การผ่าตัดรักษาโรคเหงือก
การผ่าตัดรักษาโรคเหงือกเป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเหงือกขั้นรุนแรง หรือกรณีที่การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (เช่น การขูดหินปูนและเกลารากฟัน) ไม่สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพเหงือกได้ทั้งหมด โดยมีวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้ในทางทันตกรรมดังนี้
1. การผ่าตัดเหงือกลดระดับ (Flap Surgery)
-
รายละเอียด:
ทันตแพทย์จะเปิดเหงือกเพื่อให้สามารถเข้าถึงรากฟันและกระดูกใต้เหงือกได้โดยตรง เพื่อขจัดคราบแบคทีเรียและหินปูนที่อยู่ลึกลงไป รวมถึงปรับโครงสร้างกระดูก (ถ้าจำเป็น) แล้วเย็บเหงือกกลับเข้าที่ - เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีถุงเหงือกลึกซึ่งแบคทีเรียสามารถซ่อนตัวอยู่ในระดับที่ทำความสะอาดได้ยาก
2. การปลูกเหงือก (Gum Graft Surgery)
-
รายละเอียด:
ใช้เนื้อเยื่อจากเพดานปากหรือวัสดุชีวภาพในการปลูกถ่ายเหงือก เพื่อปิดบริเวณที่เหงือกร่นหรือบางลง เนื่องจากโรคเหงือกหรือการแปรงฟันผิดวิธี - เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีอาการเหงือกร่นจนทำให้รากฟันเปิดเผย และมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียฟัน
3. การปลูกถ่ายกระดูก (Bone Grafting)
-
รายละเอียด:
ใช้กระดูกของผู้ป่วยหรือวัสดุทดแทนกระดูก เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างกระดูกที่ถูกทำลายจากโรคปริทันต์ และช่วยให้กระดูกยึดติดกับฟันได้ดีขึ้น -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีกระดูกฟันสลายตัวอย่างรุนแรง
4. การทำ Guided Tissue Regeneration (GTR)
-
รายละเอียด:
ใช้แผ่นวัสดุพิเศษ (Barrier Membrane) ในการกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและกระดูกใหม่บริเวณที่ถูกทำลาย -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูเนื้อเยื่อเหงือกและกระดูกที่ถูกทำลายจากโรคเหงือก
5. การตัดเหงือกส่วนเกิน (Gingivectomy)
-
รายละเอียด:
เป็นการตัดเหงือกส่วนที่อักเสบหรือหนาตัวเกินไปออก เพื่อให้ทำความสะอาดฟันและเหงือกได้ง่ายขึ้น -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีเหงือกปิดคลุมฟันบางส่วน (เช่นจากยา หรือปัญหาสุขภาพอื่น)


ข้อควรปฏิบัติหลังการผ่าตัด
-
หลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรงในบริเวณที่ผ่าตัด
-
รับประทานอาหารอ่อนหรือเหลวเพื่อลดการระคายเคือง
-
ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เช่น การใช้น้ำยาบ้วนปากต้านเชื้อแบคทีเรีย
-
เข้ารับการตรวจสุขภาพเหงือกตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา
การรักษาด้วยยา
การรักษาโรคเหงือกด้วยยา เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ควบคู่กับการรักษาโดยทันตแพทย์ เช่น การขูดหินปูน เกลารากฟัน หรือการผ่าตัด โดยยาเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการติดเชื้อ ลดการอักเสบ และส่งเสริมการฟื้นฟูของเหงือกและเนื้อเยื่อที่เสียหาย ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเหงือก มีดังนี้:
1. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
-
รูปแบบ:
-
แบบรับประทาน (Oral Antibiotics): เช่น Amoxicillin, Clindamycin, หรือ Metronidazole
-
แบบเฉพาะที่ (Topical Antibiotics): ใช้เจลหรือเม็ดที่ใส่ลงในซอกเหงือก (เช่น Doxycycline หรือ Minocycline)
-
-
ประโยชน์:
ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการอักเสบในเหงือก -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อรุนแรงหรือซอกเหงือกลึก
2. ยาน้ำยาบ้วนปากต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antiseptic Mouthwash)
-
ตัวอย่าง:
-
Chlorhexidine Gluconate (0.12%-0.2%)
-
น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ Cetylpyridinium Chloride (CPC)
-
-
ประโยชน์:
ลดการสะสมของคราบแบคทีเรียและการอักเสบในช่องปาก -
เหมาะสำหรับ:
ใช้หลังการขูดหินปูนหรือผ่าตัดเหงือก เพื่อควบคุมเชื้อโรค
3. ยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory Drugs)
-
ตัวอย่าง:
-
NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs): เช่น Ibuprofen หรือ Diclofenac
-
-
ประโยชน์:
ลดอาการปวดและการอักเสบของเหงือก -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีอาการเหงือกอักเสบรุนแรง
4. ยาเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (Host Modulation Therapy)
-
ตัวอย่าง:
-
ยา Doxycycline ขนาดต่ำ (Low-dose Doxycycline): ใช้ในการลดเอนไซม์ที่ทำลายเนื้อเยื่อเหงือกและกระดูก
-
-
ประโยชน์:
ช่วยลดการทำลายเนื้อเยื่อที่เกิดจากโรคเหงือกในระยะยาว -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีโรคปริทันต์รุนแรง
5. ยาเจลหรือครีมบรรเทาอาการเฉพาะที่
-
ตัวอย่าง:
-
ยาเจลลดการอักเสบที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เช่น Aloe Vera Gel หรือ Clove Oil
-
-
ประโยชน์:
ลดอาการบวมแดงหรือปวดในบริเวณเหงือก -
เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบเฉพาะที่
ข้อควรระวังในการใช้ยา
-
ใช้ยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์หรือแพทย์เท่านั้น
-
หลีกเลี่ยงการหยุดยาเอง แม้อาการจะดีขึ้น
-
ระวังอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง หรืออาการคลื่นไส้ และรีบแจ้งแพทย์หากพบอาการผิดปกติ
-
ยาปฏิชีวนะไม่ควรใช้เกินความจำเป็น เพื่อป้องกันปัญหาดื้อยา
การป้องกันโรคเหงือก
การป้องกันโรคเหงือก เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการรักษาสุขภาพเหงือกและฟันในระยะยาว โดยการป้องกันที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือก เช่น เหงือกอักเสบ (Gingivitis) หรือโรคปริทันต์ (Periodontitis) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีดูแลสุขภาพช่องปาก
1.แปรงฟันให้ถูกวิธี:
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน)
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงด้วยมุม 45 องศา เพื่อทำความสะอาดขอบเหงือก
ใช้ไหมขัดฟัน:
- ใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ระหว่างซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
ใช้น้ำยาบ้วนปาก:
- เลือกน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรีย เช่น Chlorhexidine หรือ Cetylpyridinium Chloride
2.การตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ
-
เข้าพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน:
เพื่อทำความสะอาดฟัน (ขูดหินปูน) และตรวจหาปัญหาสุขภาพฟันและเหงือก - รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ:
หากพบอาการผิดปกติ เช่น เหงือกบวมแดง เลือดออกขณะแปรงฟัน หรือกลิ่นปาก ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์
3. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
-
เลิกสูบบุหรี่:
บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกและลดความสามารถในการฟื้นตัวของเหงือก -
ลดความเครียด:
ความเครียดสามารถลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น -
หลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรงเกินไป:
การแปรงฟันแรงอาจทำให้เหงือกร่นและเกิดการอักเสบ
4. การใช้ผลิตภัณฑ์เสริม
-
ยาสีฟันต้านการอักเสบ:
เลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของ Fluoride หรือสารต้านแบคทีเรีย -
เจลบำรุงเหงือก:
ใช้เจลที่ช่วยลดอาการอักเสบของเหงือก เช่น เจลที่มีส่วนผสมของ Aloe Vera
5. การสังเกตอาการเริ่มต้น
-
หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์:
-
เลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
-
เหงือกบวม แดง หรือมีหนอง
-
กลิ่นปากเรื้อรัง
-
เหงือกร่นหรือฟันโยก
-
อาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพเหงือก
1.ลดการบริโภคน้ำตาล:
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก
2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์:
- เน้นผักผลไม้ เช่น แอปเปิลและแครอท ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลายและทำความสะอาดฟันตามธรรมชาติ
- บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมและชีส เพื่อเสริมความแข็งแรงของฟัน
คลินิคทันตกรรมเปปเปอร์มินต์ เรามีบริการทำความสะอาดฟัน ดูแลสุขภาพช่องปากแบบองค์รวม ด้วยเครื่องมือทันสมัย ราคาเข้าถึงได้
คลินิกของเรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการรักษาสุขภาพฟันและเหงือกอย่างครบวงจร ด้วยทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมทั้งใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีทันสมัย ขูดหินปูนด้วยเครื่องอัลต้าโซนิค ระบบสเตอร์ไรด์มาตราฐานสากล เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานการรักษาที่ปลอดภัย
เรามีบริการรักษาดูแลสุขภาพเหงือกและฟันครบครัน ไม่เพียงแต่ขูดหินปูน เรามีการทำความสะอาดคราบฝังแน่นด้วย ระบบ AIRFLOW DEEP CLEANING สามารถทำความสะอาดคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของหินปูน ฟันผุ และโรคเหงือก สามารถขจัดคราบสีจากอาหาร เครื่องดื่ม และควันบุหรี่ ที่ฝังแน่น โดยใช้แรงดันลมและผงทำความสะอาดที่ละเอียด ถึง 14 ไมครอน จึงอ่อนโยนไม่ทำลายสารเคลือบฟัน สามารถทำควบคู่กับการฟอกสีฟัน เพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น
บริการทำความสะอาดฟันแบบเบสิคและคอฟฟี่เลิฟเว่อ
ทำไมต้องเลือก โปรแกรม Coffee lover ราคา 1990
โปรแกรม Coffee lover เป็นที่นิยมในผู้รับบริการของเรา เพราะความคุ้มค่า ครอบคลุม ทุกขั้นตอนการทำความสะอาดฟัน ดังนี้
1.ตรวจสุขภาพฟัน ทำความสะอาดหินปูน
2.ขจัดคราบจุลิทรีย์ คราบสีชา กาแฟ คราบบุหรี่ คราบดำฝังแน่นได้หมดจด
3.เครื่อง Airflow เข้าซอกฟันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าฟันจะซ้อนเกแค่ไหน
4.บำรุงเนื้อฟันด้วยครีมทรีทเมนต์ที่มี สารบำรุงฟัน เช่น ฟลูออไรด์
สนใจรับบริการ สอบถาม นัดหมาย ได้ ที่นี่
บริการรักษาตัดแต่งเหงือก แก้ไขยิ้มเห็นเหงือกเยอะ (Gummy Smile)
คลินิกทันตกรรมเปปเปอร์มินต์ใช้เครื่องตัดเหงือกไฟฟ้า Electrosurgury หรือ ตัดเหงือกเลเซอร์ ให้การรักษาแม่นยำ เจ็บน้อยมาก เลือดไม่ออก แผลหายเร็ว พักฟื้นเพียง1-2 วัน สามารถใช้ชีวิตปกติได้เลย ราคาซี่ละ 1,000 สนใจรับบริการ สอบถาม นัดหมาย ที่นี่


ทุกบริการคุณหมอเราให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และเน้นการดูแลที่เหมาะสมสำหรับความต้องการเฉพาะบุคคล
Faq ที่เกี่ยวกับ โรคเหงือก
โรคเหงือกติดต่อได้หรือไม่
โรคเหงือกไม่ใช่โรคที่ติดต่อโดยตรง อย่างไรก็ตาม เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกสามารถถ่ายทอดได้ในบางสถานการณ์ ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การใช้ของใช้ร่วมกัน หรือการจูบ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้แบคทีเรียแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง
รายละเอียดเกี่ยวกับการ “ติดต่อ” ของโรคเหงือก
-
การแพร่ของแบคทีเรีย:
เชื้อแบคทีเรียในช่องปาก เช่น Porphyromonas gingivalis และ Treponema denticola ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือก สามารถถ่ายทอดได้จาก:-
การจูบ
-
การใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือแปรงสีฟัน
-
-
ความเสี่ยงจากภูมิคุ้มกันต่ำ:
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียที่ได้รับมาง่ายขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบหรือติดเชื้อ -
พันธุกรรม:
แม้ว่าโรคเหงือกจะไม่ติดต่อโดยตรง แต่บางคนอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกมากขึ้น
การป้องกันโรคเหงือกในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่เชื้อ
-
ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: โดยเฉพาะแปรงสีฟันหรือช้อน
-
รักษาความสะอาดช่องปาก: เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก
-
เข้ารับการรักษา: หากพบอาการเหงือกอักเสบ ควรรักษาโดยทันตแพทย์เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อ
หลีกเลี่ยงการจูบหรือละอองน้ำลาย: หากมีปัญหาเหงือกอักเสบรุนแรง
โรคเหงือกรักษาหายขาดได้ไหม
โรคเหงือกสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเริ่มต้น (เช่น เหงือกอักเสบ หรือ Gingivitis) หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่หากโรคพัฒนาสู่ระยะรุนแรง เช่น โรคปริทันต์ (Periodontitis) การรักษาอาจช่วยควบคุมและลดอาการได้ แต่ไม่สามารถฟื้นฟูเนื้อเยื่อหรือกระดูกที่สูญเสียไปแล้วให้กลับมาเป็นปกติได้ทั้งหมด
1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis)
-
สามารถรักษาให้หายขาดได้
-
ด้วยการดูแลช่องปากอย่างดี เช่น การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์
-
หากรักษาเร็ว เหงือกที่อักเสบสามารถกลับคืนสู่สุขภาพปกติได้
-
2. โรคปริทันต์ (Periodontitis)
-
ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี
-
โรคนี้เกิดจากการที่การอักเสบลุกลามไปถึงกระดูกและเนื้อเยื่อรองรับฟัน
-
กระดูกหรือเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
-
การรักษาจะเน้นการควบคุมโรค เช่น การขูดหินปูน การเกลารากฟัน การปลูกเหงือก หรือการปลูกกระดูก
-
หากควบคุมโรคได้ดี ก็สามารถป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง และช่วยยืดอายุการใช้งานของฟัน
-
ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดี
-
การดูแลช่องปาก:
-
แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
-
-
เข้ารับการรักษาโดยทันตแพทย์:
-
ขูดหินปูนและเกลารากฟันเป็นประจำตามคำแนะนำ
-
-
การเลิกบุหรี่:
-
บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ลดความสามารถของร่างกายในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อเหงือก
-
-
การรักษาอย่างต่อเนื่อง:
-
เข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำเพื่อป้องกันการกลับมาของโรค
-
อมเกลือ รักษาโรคเหงือกได้ จริงไหม
การอมเกลือหรือบ้วนน้ำเกลือ เป็นวิธีการดูแลช่องปากแบบธรรมชาติที่หลายคนเชื่อว่าช่วยรักษาโรคเหงือกได้ อย่างไรก็ตาม ควรเข้าใจว่าการใช้น้ำเกลือช่วย บรรเทาอาการเหงือกอักเสบในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่การรักษาโรคเหงือกอย่างสมบูรณ์
ประโยชน์ของน้ำเกลือต่อโรคเหงือก
-
ลดการอักเสบและบวม:
น้ำเกลือมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบและบวมในเหงือก -
ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด:
น้ำเกลือช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งอาจช่วยลดอาการอักเสบในระยะเริ่มต้น -
กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต:
การบ้วนน้ำเกลืออุ่น ๆ ช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อเหงือก
ข้อจำกัดของการใช้น้ำเกลือ
-
ไม่ได้รักษาโรคเหงือกที่รุนแรง:
น้ำเกลือช่วยบรรเทาอาการในระยะสั้น แต่ไม่สามารถกำจัดคราบหินปูนหรือรักษาโรคปริทันต์ได้ -
ใช้น้ำเกลือที่เข้มข้นเกินไปอาจทำให้แย่ลง:
น้ำเกลือที่เค็มมากอาจทำให้เนื้อเยื่อเหงือกระคายเคือง
ตัวอย่างวิธีใช้น้ำเกลือ
-
ผสมเกลือ 1/2 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 แก้ว (ประมาณ 240 มิลลิลิตร)
-
บ้วนปากครั้งละ 30 วินาที แล้วบ้วนทิ้ง
-
ใช้วันละ 2-3 ครั้งหลังแปรงฟัน
คำแนะนำเพิ่มเติม
-
หากมีอาการเหงือกอักเสบรุนแรง เช่น เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย หรือฟันโยก ควรเข้าพบทันตแพทย์
-
การบ้วนน้ำเกลือควรใช้เป็นวิธีเสริมการดูแลช่องปาก ควบคู่กับการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูน
-
การรักษาโรคเหงือกอย่างถาวรจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากทันตแพทย์
ปรึกษาฟรี! แอดเลย
บทความ
ประกันสังคมเบิกตรงไม่ต้องสำรองจ่าย เดินทางสะดวก ใกล้ BTS อุดมสุข